เมนู

ท่านพระมหาโกฏฐิตะตอบว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ปุถุชนผู้ไม่ได้
สดับแล้วในโลกนี้ ย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่งคุณ โทษ และ
อุบายเป็นเครื่องสลัดออกแห่งรูป ย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่งคุณ
โทษ และอุบายเป็นเครื่องสลัดออกแห่งเวทนา... แห่งสัญญา...
แห่งสังขาร... แห่งวิญญาณ ดูก่อนท่านผู้มีอายุ นี้เรียกว่า อวิชชา และ
บุคคลเป็นผู้ประกอบด้วยอวิชชา ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล.
[329] เมื่อท่านพระมหาโกฏฐิตะกล่าวอย่างนี้แล้ว ท่าน-
พระสารีบุตร
จึงได้ถามว่า ดูก่อนท่านโกฏฐิตะ ที่เรียกว่า วิชชา วิชชา
ดังนี้ วิชชาเป็นไฉนหนอแล และบุคคลเป็นผู้ประกอบด้วยวิชชา
ด้วยเหตุเพียงเท่าไร ?
ท่านพระมหาโกฏฐิตะตอบว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ อริยสาวกผู้ได้
สดับแล้วในธรรมวินัยนี้ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริง ซึ่งคุณ โทษ
และอุบายเป็นเครื่องสลัดออกแห่งรูป ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริง
ซึ่งคุณ โทษ และอุบายเป็นเครื่องสลัดออกแห่งเวทนา... แห่งสัญญา...
แห่งสังขาร... แห่งวิญญาณ ดูก่อนท่านผู้มีอายุ นี้เรียกว่าวิชชา และ
บุคคลเป็นผู้ประกอบด้วยวิชชา ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล.
จบ โกฏฐิตสูตรที่ 1

9. โกฏฐิตสูตรที่ 2



ว่าด้วยความหมายของอวิชชา - วิชชา



[330] เหตุเกิด (แห่งพระสูตร) ก็เป็นเช่นนั้นแล. ท่านพระสารีบุตร
นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้ถามท่านพระมหาโกฏิฐิตะว่า
ดูก่อนท่านโกฏฐิตะ ที่เรียกว่า อวิชชา อวิชชา ดังนี้ อวิชชาเป็นไฉน